วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

นิยามความรักแท้....ของนายเทียมกับนายจริง

....เป็นเรื่องที่เล่าขาน..นิทานรักแท้ของนายเทียมกับนายจริง...ที่ได้นิยามความรักของตนเองและทำตามที่ตนเองเชื่อ!!...ซึ่งอาจเกิดขึ้นจริงในแวดวงสังคมไทย....
.....กาลครั้งหนึ่ง..นายเทียมและนายจริงเป็นเพื่อนรักกัน ที่เติบโตมาด้วยกัน..ทำงานที่เดียวกันและมีครอบครัว มีภรรยาและลูก 2 คนเท่ากัน เขาเป็นชายหนุ่มในวัยทำงานที่ขยันขันแข็งเหมือนกัน เป็นหัวหน้าครอบครัวมีภรรยาคนสวย และลูกสาวที่น่ารักในวัยอายุ 6 ขวบ 12ขวบซึ่งอยู่ในวัยเล่าเรียนทั้ง 2 คนเหมือนๆกัน เพียงแต่นายเทียมจะได้รับคำชื่นชมจากบรรดาญาติมิตรในความเป็นแฟมิลี่แมน ที่อดทนทำงานหนัก ขยันขันแข็งทำมาหากินเพื่อมาเลี้ยงครอบครัวให้มีความสุขโดยที่ ภรรยาและลูกอยากได้อะไรนายเทียมก็หามาปรนเปรอไม่ได้ขาด... ไม่ว่าผ่อนรถ ผ่อนบ้าน ผ่อนเครื่องอำนวยความสะดวกสบายภายในบ้านเพื่อลูกและภรรยาไม่ให้ลำบาก ซึ่งเขาได้ภาคภูมิใจในความสามารถเขาแม้เขาจะลำบากก็ตาม เขาได้ทำหน้าที่ที่ดีของสามีที่ดีที่รักภรรยาและเป็นพ่อที่ดีของลูกสาวทั้ง2คนแล้วนั้น ซึ่งดูแตกต่างกับครอบครัวของนายจริงเพื่อนรักของเขา..ที่ผู้คนมักนินนทาลับหลังว่าไม่รักลูกและเมีย ปล่อยให้อยู่อย่างประหยัด พอเพียง ใช้จ่ายอย่างจำเป็น ภรรยาทั้งญาติมิตร เพื่อนฝูง หรือชาวบ้านต่างนำมาเปรียบเทียบกับครอบครัวของนายจริงเสมอมักถูกมองว่า นายจริงไม่รักลูกและภรรยาเลย ทั้งที่ขยันทำมาหากินเหมือนกัน แต่ดูซิทำไมลูกและภรรยาลำบากนัก  ลูกและภรรยาอยากได้อะไรก็มักจะไม่ได้ บอกไม่มีเงินบ้าง ไม่จำเป็นบ้างเขามักจะปฏิเสธอยู่เรื่อย ชาวบ้านได้ค่อนขอดในความรักของนายจริงว่าเป็นคนไม่รักลูกรักเมีย เท่าไดนัก....
        เมื่อวันเวลาผ่านไป...นายเทียมกับนายจริงได้ขับรถเดินทางไปทำงานที่ต่างจังหวัด  ได้เกิดอุบัติเหตุรถชนประสานงากับรถสิบล้อเสียชีวิตทั้งคู่ ข่าวร้ายนี้ได้นำความเศร้าโศกมาสู่ครอบครัว ภรรยาและลูกทั้ง 2ครอบครัว ภรรยาม่ายในวัยสาวและลูกๆจะดำเนินชีวิตอย่างไรเมื่อหัวหน้าครอบครัวมาเสียชีวิตกระทันหันอย่างนี้.....เมื่อภาระกิจจัดงานศพสามีเสร็จสิ้นแล้ว...
    ....... ภรรยานายเที่ยมนั้นได้แต่นั่งดูพนักงานมาขนเอาสิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆ..ทีวี ตู้เย็น อื่นๆด้วยสายตาเศร้าสร้อย.กอดลูกๆที่ร้องให้.สามีที่รักลูกและภรรยาไม่มีเงินเหลือไว้ให้เลย...มีแต่หนี้สินรุงรังที่ต้องรอการชำระแม้แต่บ้านก็ยังผ่อนอยู่..เธอจะเริ่มต้นชีวิตที่ไม่มีหัวหน้าครอบครัวได้อย่างไร..ลูกๆจะทนได้ใหม.จะหาเงินที่ไหนมาเป็นค่าเทอมให้ลูกๆได้เล่าเรียนต่อไป ยิ่งคิดยิ่งตีบตัน นี่เป็นการบ้านที่ถาโถมเข้ามาให้เธอได้ขบคิด..และได้แต่ตำหนิสามีที่ทำให้ชีวิตลำบากเป็นอย่างนี้.ท้ายสุดชีวิตก็ดำเนินต่อไป ...เธออยู่อย่างประหยัด หางานทำพอเลี้ยงชีพ เพื่อส่งเสียลูกๆเรียนเป็นไปตามอัตภาพ อย่างยากลำบาก...ชาวบ้านได้นินทาถึงความน่าเวทนา ครอบครัวเขาและตำหนิในความสุรุ่ยสุร่ายที่เขาและครอบครัวเขาได้ดำเนินชีวิตที่ผ่านมา..
        ส่วนภรรยาของนายจริงที่ดูตำต้อยกว่า... เธอและลูกเพิ่งทราบความจริงว่านายจริง สามีได้วางแผนการดำเนินชีวิตโดยไม่เขาไว้ให้แล้ว....เธอและลูกๆอยู่โดยไม่ลำบาก  เขาได้เก็บเงินทำประกันชีวิตไว้ให้หลักล้าน และทำประกันการศึกษาให้ลูกๆได้เล่าเรียนถึงขั้นปริญาตรีตามที่เขาได้วาดหวังไว้ เธอและลูกๆซาบซึ้งในความรักของเขาที่ไห้ได้อยู่อย่างมีความสุข.. ทำไมเขาได้ทนต่อการก่นด่าของชาวบ้านที่ไม่ทราบความจริงว่าเขารักลูกและภรรยาเขาได้มากมายขนาดนี้..สิ้นชีวิตเขามีแต่เสียงชาวบ้าน..ญาติพี่น้องสรรเสริญ..ชื่นชมยกย่องในความดีงามของเขา...ในความรักที่มีต่อครอบครัวของเขาที่ได้แตกต่างจากนายเทียมอย่างสิ้นเชิง.....
        อันว่าความรักนั้น..ไม่ต้องเอื้อนเอ่ยวจีไพเราะไดๆๆ...เท่ากับหนึ่งการกระทำถึงความรัก ห่วงหาอาลัยให้เก็บไว้ในความทรงจำดีๆไปตลอดกาลนานนนน.............

วันอาทิตย์ที่ 17 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ความรักคําจุนโลก...

...ความรัก..เป็นสิ่งที่ทุกคนใฝ่ฝันและปรารถนา..อยากให้คนอื่นมารักและยินดีมอบความรัก..สิ่งเลอค่านี้ให้กับผู้อื่นเช่นกัน...ถ้าหากว่าความรักนั้นเป็นรักแท้..ยั่งยืนและมั่นคง
...ความรักมิใช่ดูแค่รูปโฉมภายนอกสวยงาม หรือคำพูดอันไพเราะที่พรำบอกอยู่ทุกวันๆ...
...หากความรักนั้นต้องสัมผัสได้ถึงก้นบึ้งหัวใจ..สัมผัสได้ถึงความรู้สึกและการกระทำที่ห่วงหาอาทร ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกันทั้งในปัจจุบันและอนาคต...ตลอดไป
...ภาพสวยงามของความรักเหล่านี้ได้ฉายแววปรากฏออกมาในหลากหลายรูปแบบให้คนชื่นชม...ความรักของพ่อแม่..ความรักของลูกๆ..ความรักของหนุ่มสาว..ความรักของเพื่อน...ความรักของหัวหน้าครอบครัวสามีและภรรยา..ฯลฯ
...ภาพเหล่านี้ทุกๆคนมีความรักอยู่ในหัวใจทุกดวงอยู่แล้วจะมากน้อยนั้นอยู่ที่หัวใจแต่ละคนจะมอบให้กัน
...ชาวเอไอเอรับสัมผัสความรักเหล่านี้ได้จากการมอบกว่า4ล้านกรมธรรม์ให้คนที่มีความรัก..ได้มอบให้ คนที่ตนเองรัก...และครอบครัวด้วย...
....แล้วคุณละ..ได้มอบความรักแท้ รักที่จีรัง ยั่งยืนนี้ให้ใครหรือยังคะ....

วันเสาร์ที่ 16 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ธรรมะกับชีวิต...ของหลวงพ่อชา สุภัทโท

.....เธอจงระวังความคิดของเธอ................เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ
.....เธอจงระวังความประพฤติของเธอ...เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นความเคยชินของเธอ
.....เธอจงระวังความเคยชินของเธอ................เพราะความเคยชินของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ
.....เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ.....เพราะอุปนิสัยของเธอเป็นตัวกำหนดชะตากรรมของเธอตราบชั่วชีวิต...
                                                 ...................................

วันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ประกันชีวิตเข้าใจยาก..จริงหรือ?


ทำไม..!!คนส่วนใหญ่  มักบอกว่า... ประกันชีวิตเป็นเรื่องเข้าใจยาก..ลองดูคำอธิบายสักนิดนะคะ
คุณเพียงแต่คุณกำหนด วงเงินที่คุณต้องการในอนาคตไว้ อีก10,20ปีข้างหน้าจะใช้จ่ายเดือนละเท่าไหร่ ถึงจะพอมาคำนาณได้ตัวเลขแล้ว ค่อยๆทยอยผ่อนจ่าย ..ค่าเบี้ยประกัน...ในวงเงินที่คุณกำหนดไว้นั้น  โดยมีให้คุณเลือกจ่ายในอัตราตั้งแต่ 2%,5%.8%, 12% ตามกำลังเงินที่มีจัดสรรได้ในแต่ละเดือน มีมากก็ฝากมาก มีน้อยก็ฝากน้อย ที่คนว่าประกันแพงก็อยู่ตรงนี้ละคะ ถ้ามีน้อยก็บอกตัวแทนเป็นแบบเน้นความคุ้มครองตลอดชีพ จะได้จัดให้ตามที่ลูกค้าต้องการได้นะคะ
......ถ้าหากวันใดวันหนึ่ง..เกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น..ซึ่งอาจหลีกเลี่ยงได้บ้างหรือไม่ได้บ้างไม่มีใครทราบล่วงหน้าได้เลย.. การเกิดอุบัติเหตุ..การเจ็บป่วย..พิการ หรือการจากไปก่อนวัยอันควร...
วงเงินที่คุณกำหนดไว้นี้ จะถูกส่งมอบให้กับครอบครัวของคุณทันทีโดยไม่มีเงื่อนไขไดๆทั้งสิ้นและครอบครัวของคุณไม่ต้องจ่ายเงินคืนบริษัทฯแต่อย่างใด..หรือกรณีพิการ..ทำงานไม่ได้ไม่ต้องจ่ายเบี้ยอีกแต่จะได้รับเงินก้อนตามที่บริษัทฯได้สัญญาไว้..
......นั่นคือ ประกันชีวิต หรืออีกนัยหนึ่งก็คือเงินที่จะรับประกันรายได้ในอนาคตของคุณนั่นเอง..
จะเห็นว่า ประกันชีวิต แท้ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเรื่องที่เข้าใจยากอย่างที่คิดเลย...จริงไหมคะ...

...ภาพจริงของชีวิต....(2)


...การฝากลักษณะที่กล่าวมามีจุดอ่อนคือ ถ้าผมเป็นหัวหน้าครอบครัวผมต้องมีเงินเท่าไหร่ให้กับครอบครัว ต้องมี 10 ล้านบาท และ 10 ล้านบาทสมควรมีวันไหน สมควรมีวันนี้ แต่อย่างว่าไม่ใช่นึกแล้วจะมีเงินพร้อมเลยก็ต้องขึ้นอยู่กับองค์ประกอบ 3 อย่างคือ 1.ต้องกำหนดระยะเวลาขึ้นมา ว่าจะฝากกี่ปีจะได้เงิน 10 ล้าน ตรงนี้กำหนดได้.2.ต้องฝากอย่างสมำเสมอ อย่าขาด ตรงนี้ก็ควบคุมได้ และ3.ในระยะเวลาที่กำหนดนั้นผมต้องควบคุมปัญหา 4 อย่างคือ ความตาย อุบัติเหตุ เจ็บป่วยและพิการให้ได้....ถ้าควบคุมไม่ได้ ถ้าเกิดปัญหาตัวที่1 การตาย ฝากธนาคารมา 3 ปีก็จะได้เงินต้นพร้อมดอกเบี้ย.แล้วถ้าเป็นปัญหาตัวที่ 2  เงินฝากไว้ก็ต้องถอนมาเป็นค่ารักษาจนเกือบหมด ถ้าเป็นตัวที่4 พิการก็ติดลบทั้งชีวิต นี้เป็นจุดอ่อนของการฝากเงินในปัจจุบัน จุดดีคือถอนมาใช้ได้ตลอดเวลาถ้าถอนบ่อยๆก็ไม่ถึงเป้าหมายได้ช้าหน่อย..เท่านั้นเอง....
.....คนเรานั้นก็ได้ค้นพบวิธีการฝากเงินอีกแบบหนึ่งที่เรียกว่า..ฝากประกัน.. ในอดีตมีเงินเท่าไหร่ก็ฝากหมดคือ100% แทนที่จะฝาก 100%ก็เปลี่ยนมาฝาก 90%หรือ85% ส่วนที่เหลือก็มาฝาก 10%-15%ย้ายที่ฝากเงินมาฝากในรูปประกัน..แต่มีข้อแม้ว่าเวลาฝากสุขภาพต้องดี ประกันก็คือการฝากเงินในนโยบายเดียวกัน...เพียงแต่ถ้าพบกับปัญหา 4 อย่างที่กล่าวมานั้น ประกันจะมีเงินก้อนโตมารองรับภาระทั้งหมด ที่กล่าวมาทั้งหมดคือการประกันชีวิตใช่หรือไม่.. ไม่ใช่ เพราะชีวิตคนเรานั้นการตายมีคนละ 1 ครั้งประกันไม่ได้ นั้นมันคืออะไรละ..มันก็คือการประกันรายได้... ประกันความสามารถของแต่ละคนให้สมบูรณ์แบบในรูปต่างๆต่างหากละ...
.....ภาพชีวิตของแต่ละคนย่อมแตกต่างกันไปตามวิถีของแต่ละคน..คนที่มีการวางแผนล่วงหน้าอย่างดีย่อมได้เปรียบกว่า เป็นคนแก่ที่มีเงิน ลูกหลานยำเกรง คอยมาบริการ ส่วนคนที่ไม่มีการวางแผนอะไร..เป็นคนแก่ที่ลำบาก มีลูกหลานดีเลี้ยงดูก็ดีไป..ถ้าไม่ใช่ก็ลำบาก..เป็นภาระกับลูกหลาน ชีวิตปล่อยไปตามยถากรรมอย่างน่าสงสาร..
.....เคยมีคนเล่าว่า...เวลาคนเราในยามหนุ่มแน่น..ในวัยทำงานมีเงินทองย่อมนำไปใช้จ่ายในสิ่งที่ตนอยากมี อยากได้ สิ่งอำนวยความสะดวกต่างๆให้ลูกเมียใช้จ่ายฟุ่มเฟือยในแต่ละเดือนๆๆผ่านไปๆ...จนลืมการเก็บออมให้ตัวเองในอนาคต..คือคนแก่ในอีก 20-30ปีข้างหน้า คนแก่.หลังค่อมๆ.. ผอมโซ ผมหงอกทั้งหัว.ไม่มีรายได้อะไรอีก...เดินถือไม้เท้ามาเข้าแถวรอรับเงินค่าอาหารแต่ละมื้อ..จากตัวเอง(ที่ยังหนุ่ม)ที่สนุกกับใช้จ่ายเงินให้คนอื่นๆ..พอถึงคิวยื่นมืออันสั่นเทาจะรับ..แต่ไม่มีเหลือแล้ว..ได้เดินคอตกกลับไปด้วยความผิดหวังทุกครั้งทุกวันๆๆ...และแล้วเวลาได้ผ่านมาจนวันนี้..เขานั่งปาดเหงื่อ.เอนตัวหลับตาลง.ถ้าหากว่าย้อนเวลากลับไปได้เขาจะเก็บออมเงินเสียแต่ยังหนุ่มให้มากที่สุดตั้งแต่ในวันนั้นมันคงจะไม่ลำบากในวันนี้..พอคิดได้ก็สายเสียแล้ว...........

...ภาพจริงของชีวิต...(1).



..ทุกวันนี้..คนเราทำงานต่างอาชีพกัน บางคนเป็นหมอ  พยาบาล วิศวกร ทหาร  เป็นข้าราชการ พ่อค้า ทำธุรกิจ พนักงานบริษัท  แม่ค้า รปภ.ฯลฯ แต่ทุกคนก็มีเป้าหมายเหมือนกันคือ หารายได้ แน่นอนรายได้ของคนเราไม่เท่ากัน นั่นเป็นเพราะความรู้ต่างกัน ประสบการณ์ต่างกัน และความอดทนแตกต่างกัน รวมแล้วคนเรามีความสามารถไม่เท่ากันนั่นเอง ทำไมคนเราต้องทุ่มเทความสามารถเพื่อที่จะหารายได้ ก็เพราะคนเรามีค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวันที่เพิ่มขึ้นทุกวัน ไม่ว่าเป็นปัจจัยสี่ อาหาร3มื้อ ค่าสาธารณูปโภค ยา เสื้อผ้า สิ่งอำนวยความสุข หรือหนี้  ถ้ามีครอบครัวก็มีลูกเล็กๆ หรือกำลังเรียนหนังสือ หรือแม่ที่ชรา คนรักใกล้ตัว หรือคนอื่นๆ ทั้งหมดนี้คือชีวิต ความเป็นอยู่เหล่านี้ที่ผู้นำครอบครัวต้องทุ่มเท ความรู้ ความสามารถในการหารายได้มาจุนเจือครอบครัวให้พอกับค่าใช้จ่าย ให้อยู่ดี มีสุข มีเงินเหลือก็เก็บออมในรูปต่างกันเพื่อความมั่นคงในชีวิต  ง่ายที่สุดนำไปฝากธนาคาร หรือนำไปซื้อกองทุน ซื้อหุ้น ตราสาร ทอง ที่ดินต่างๆ..

.....ในขณะที่ทุกชีวิตดำเนินไปสู่อนาคตตามที่คาดหวังไว้...แต่มนุษย์ทุกคนย่อมหลีกหนีอุปสรรค 4 อย่างนี้ไม่ได้ .ไม่ว่าจะเป็น ความตาย อุบัติเหตุ   เจ็บป่วย  หรือพิการ ปัญหาที่กล่าวมาคงไม่มีใครชอบ  ...แต่ถ้าถ้าเป็นความตายก็คนละครั้งเท่ากัน..ไม่รู้ว่าเป็นเมื่อไหร่เท่านั้นเอง ...แน่นอนความสามารถจะหมดลง จะหมดลงด้วยชั่วคราว หรือถาวร ถ้าเป็นอุบัติเหตุหรือเจ็บป่วย ถ้าเป็นแบบถาวร รายได้ก็หมดลงด้วยเหมือนกัน แต่รายจ่ายไม่ได้หมดลงด้วยเลย ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ถามว่าคนเรารู้ถึงปัญหานี้ไหม เชื่อว่าทุกคนรู้ดี แล้วจะทำอย่างไร ทุกคนก็หาวิธีป้องกัน...
......บางคนป้องกันในรูปการฝากธนาคาร ทรัสต์ ซื้อหุ้น เล่นแชร์ ซื้อทอง ซื้อที่ดิน และอื่นๆ เพื่อเป็นหลักประกันในอนาคตใช่หรือไม่ นั่นแสดงว่าคนเรานั้นไม่ได้รังเกียจการประกัน..เพียงแต่ทำอยู่แล้วด้วย เพียงแต่ไม่ได้เรียกประกันเท่านั้นเอง  แต่รู้ไหมว่าการฝากแบบนี้มีจุดอ่อน..จุดอ่อนอย่างไรละ...(อ่านต่อ)