วันจันทร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2554

ทำไมต้องทำประกันชีวิต?


......หลายคนที่ทุ่มเทแรงกายแรงใจ อดทนทำงานด้วยความหวังเพื่อต้องการประสบความสำเร็จในชีวิต มีความก้าวหน้าในอาชีพการงาน มีครอบครัวทีอบอุ่น มีบ้านหลังใหญ่ มีรถคันหรู แต่ในสภาพความเป็นจริงแล้ว....บางคนก็โชคดีประสบความสำเร็จตามที่ได้วาดหวังไว้..แต่บางคนก็เสียชีวิตก่อนวัยอันควร บางคนประสบอุบัติเหตุจนพิการทำงานไม่ได้ บางคนเกษียณอายุแล้วยังต้องทำงานต่อไป เพราะมีเงินเก็บไม่มากพอกับการดำรงชีวิต บางคนเกษียณอายุแล้ว ก็พออยู่ได้..แต่ไม่ดีนัก จะมีส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จ รำรวยเป็นเศรษฐีขึ้นมา...สรุปแล้วคนส่วนใหญ่ล้มเหลว คนที่ล้มเหลวนั้นไม่ใช่เพราะเขาไม่ได้วางแผน.. แต่แผนที่เขาวางไว้นั้นใช้ไม่ได้ผลต่างหาก....
......ดังนั้นคนเราจึงได้แบ่งออกเป็น 2 กลุ่มคือกลุ่มที่อยู่จนเกษียณอายุ กับกลุ่มที่เสียชีวิตก่อนเกษียณอายุ ในกลุ่มแรกที่อยู่จนเกษียณอายุนั้นจะมีปัญหาในการเก็บออมเงินไม่ได้เพราะ...ขาดวินัยในการเก็บ..เก็บเพื่อใช้จ่าย..หรือนำเงินไปลงทุนแล้วผิดพลาด...หรือพบปัญหาอัตราเงินเฟ้อ..ค่าเงินลดลง..หรือเจ็บป่วยระยะยาวหรือพิการ....อุปสรรคต่างๆนี้ทำให้คนเราเก็บเงินได้น้อย ไม่เพียงพอใช้จ่ายในยามเกษียณอายุหรืออาจไม่มีเงินเก็บเลย..ซ้ำร้ายอาจติดลบเป็นหนี้สินรุงรังก็ได้...
.....กลุ่มที่2 นั้นคือกลุ่มที่เสียชีวิตก่อนเกษียณอายุ คนที่เสียชีวิตลงนั้นจะมีค่าใช้จ่ายมากมายตามฐานะของแต่ละคน อาทิค่ารักษาพยาบาล  ค่าใช้จ่ายสุดท้าย(เสียชีวิต) รวมถึงค่าใช้จ่ายในพิธีต่างๆ หนี้สินที่ค้างชำระที่ต้องจัดการทันที ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ค่าเล่าเรียนของลูก และค่าใช้จ่ายภายในบ้าน เพื่อครอบครัวจะต้องดำรงชีพต่อไปได้เหมือนเดิม....
.....ฉะนั้นการทำประกันชีวิตคือคำตอบ....ที่มาแบกรับภาระทั้งหมดที่มีอยู่ให้ดำเนินต่อไป หรือประกันชีวิตคือสินค้าทางการเงินประเภทเดียวที่ตอบสนองต่อปัญหาของคนได้แทบทุกอย่างเพื่อมารองรับภาระต่างๆได้ดียิ่งไม่ว่าจะเป็นคนอายุสั้น อายุยืน หรือทุพพลภาพ......
......สรุปก็คือ การทำประกันชีวิตนั้น....1.เป็นการออมเงินอย่างเป็นระบบ..เป้นการบังคับให้ตัวเองเก็บเงินเป็นจำนวนที่แน่นอนสมำเสมอ เป็นการการันตียอดเก็บเงินได้อย่างแน่นนอนได้ เปรียบเหมือนเป็นการออมเงินล่วงหน้า
2. ได้รับประโยชน์จากการรักษาพยาบาล ในการเข้าโรงพยาบาลในแต่ละครั้ง(โดยเฉพาะเอกชน)มีค่าใช้จ่ายที่สูง ค่าห้อง2-5พัน ค่ายา ค่าหมอ ค่าพยาบาล ค่าอาหาร ฯลฯ ค่ารักษาพยาบาลและศัลยกรรมที่ซื้อไว้จะมารองรับค่าใช้จ่ายเหล่านี้ได้ แม้แต่กรณีทุพพลภาพ ถ้าเกิดขึ้นกับผู้ได หรือคนในครอบครัวเรา สิ่งที่ตามมาคือค่าใช้จ่ายต่างๆค่ารักษาพยาบาลที่ยืดยาวนาน แค่สิ่งที่มารองรับและแบ่งเบาภาระได้คือประกันชีวิต....ถ้าทำประกันชีวิตไว้เวลาเกิดทุพพภาพถาวรหรือพิการ ทำงานไม่ได้ คุณไม่ต้องส่งเบี้ยประกันต่อ บริษัทฯจะรับภาระส่งเบี้ยให้คุณทุกปีจนครบสัญญาคุณก็รับผลประโยชน์ได้ตามสัญญาไว้ ถือว่าประกันได้คุ้มครองทุพพลภาพคุณแล้ว
3. การเกษียณอายุการทำงาน ปัญหาส่วนใหญ่ของคนที่เกษียณอายุออกจากงานแล้วไม่มีเงินเก็บ หรือมีเงินใช้ไม่เพียงพอ ถ้าในช่วงทำงานอยู่ได้วางแผนเก็บออมเงินเข้ากองทุนเกษียณอายุอย่างมีประสิทธิภาพกับประกันชีวิตแล้วจะทำให้ดำรงชีวิตอย่างมีความสุขตามที่ปรารถนาได้
4. การเสียชีวิต หัวหน้าครอบครัวเปรียบเสมือนเสาหลักของบ้าน ถ้าขาดเสาหลักไป คนในครอบครัวจะอยู่กันอย่างไร ภาระค่าใช้จ่ายต่างๆ หรือแม้แต่ค่าใช้จ่ายสุดท้ายคนข้างหลังจะแบกรับภาระนั้นได้อย่างไร ถ้าหัวหน้าครอบครัวมีการวางแผนไว้ล่วงหน้าทำประกันชีวิตที่เน้นความคุ้มครอง มาแบ่งเบาภาระทั้งหมดได้ เวลาจากไปก็ไม่ต้องวิตก กังวลใจ กับคนรักที่อยู่ข้างหลังจะลำบาก.....เมื่อเราทำประกันชีวิตไว้ให้เป็นมรดกก้อนโตมอบไว้ให้แล้ว......
 
For Mother of mine

1 ความคิดเห็น:

  1. อ่านบทความนี้แล้ว เข้าใจและเชื่อว่าเป็นการออมเงินอย่างเป็นระบบและคุ้มเสี่ยง แต่รอให้ผมขายที่ได้ก่อนนะ :)

    ตอบลบ